“น่าน”….เมืองเล็กๆที่มีมนต์เสน่ห์ เต็มไปด้วยศิลปะ ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตการเป็นอยู่ และธรรมชาติ ผมนั้งหาข้อมูลอยู่นาน….เกี่ยวกับจังหวัดน่าน เมืองเล็กๆที่เป็นเมืองรอง จะไปมีอะไร? แต่พอได้อ่านได้หาข้อมูล ยิ่งอ่านยิ่งลงลึก ยิ่งอ่านยิ่งน่าสัมผัส ทุกอย่างมันดูอบอวล และละมุนอย่างบอกไม่ถูก ชวนให้ค้นหาด้วยตาตัวเอง…”
สุดท้ายแล้ว “การเดินทางเท่านั้น คือคำตอบ”
เราบินด้วยตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด จากเจ้านกเหลือง มุ่งหน้าจากดอนเมือง สู่สนามบินน่านนคร เริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 9.00 น. ไปถึงสนามบินน่านนคร 10.10 น. ใช้เวลาเดินทางประมาน 1 ชั่วโมง 10 นาที
ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ เรามีสมาชิกผู้ร่วมเดินทาง 6 คน “วัยรุ่นหนุ่มสาว ผู้รักการผจญภัย” บอกก่อนเลยว่า ถ้าคุณอยากจะเที่ยวน่านให้ครบ แนะนำมาเป็นกลุ่มจะดีที่สุด เพราะเราต้องการตัวหารค่าใช้จ่าย เพราะการเดินทางไปแต่ละที่นั้นใช้เวลา ถึงจะห่างกันไม่ไกล แต่ส่วนใหญ่จะขับขึ้นเขา เช่ารถขับเองดีกว่า สำหรับผม 6 คน เป็นอะไรที่พอดีและเพอร์เฟ็ก เมื่อถึงสนามบินน่านนคร เราได้โทรหารถที่จองไว้(เบอร์ติดต่ออยู่ด่านล่างสุดนะจ๊ะ) เป็นรถฟอร์จูนเนอร์ 7 ที่นั้ง มากัน 6 คนนั้งสบาย แถมเก็บกระเป๋าได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องเก็บไว้หลังกระบะตากฝน แถมแอร์เย็นจนแม่คะนิ้งเกาะเหงือกอีกต่างหาก….ว่าแล้ว เรามาเริ่มเดินทางกันดีกว่า
แน่นอนครับ ตามความเชื่อของคนไทย ต่างบ้าน ต่างเมือง ไปไหนมาไหน ที่แรกที่ไป…ต้องเข้า “วัด” เอาฤกษ์เอาชัย ไหว้พระขอพร ทำตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ซึ่งเรามุ่งหน้าสู่
“วัดมิ่งเมือง” เป็นสถานีแรก
วัดมิ่งเมืองนั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดที่เก่าแก่ของจังหวัดน่าน ไม่เพียงแต่เป็นวัดเท่านั้น ยังมีเสาหลักเมืองให้เราได้กราบไหว้สักการะขอพรอีกด้วย มาที่เดียว ได้พรสองชั้น…
ซึ่งการกราบไหว้ศาลหลักเมืองนั้น เราจะต้องร่วมทำบุญ โดยแต่ละคนก็จะได้รับดอกไม้ธูปเทียน เครื่องบูชาเป็นผ้าผูกคนละสีกัน แล้วแต่วันเกิดของแต่ละคน โดยชุดนึง ราคาเพียงไม่กี่บาท ซึ่งเราขอพรให้เดินทางปลอดภัย ไร้อุปสรรค เพี้ยง!!! เพราะแว่วๆมาว่า ถนนหนทางแอบเสียวอยู่นิดนึง…
ศิลปะการตกแต่งไม่ว่าจะลวดลาย การปั้น หรือจิตรกรรมต่างๆ จะเป็นศิลปะเชียงแสนดั้งเดิมขนานแท้ วิจิตรบรรจง อ่อนช้อยสวยงาม สมคำร่ำลือ..
อ่าาาาาา…………เที่ยงแล้วสินะ ไส้สั่นแล้ววววววว!!!!
เรามาหาของอร่อยๆ กินกันดีกว่า ได้ยินมาว่า ก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน แห่งน่านนคร ชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก เปิดGPSปุ๊บ เด้งขึ้นมาปั๊บ…..ลุยสิครับบบบบ
เมื่อถึงร้าน แป่ว!!!!! ร้านปิด น้ำตาไหลพราก แต่เราจะไม่ยอม ตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ต้องหาให้ได้
ขับวนไปสิครับ ชะแว้บบบบบ!!!!!!!!!!! เจอแล้ว ป้ายร้านแสนสะดุดตา ร้าน
“ญิ๋ง-จาย ก๋วยเตี๋ยวกะลาโบราณ”
ร้านเล็กๆ ริมทาง สูตรสำเร็จของการเสี่ยงดวงแห่งความอร่อย อย่าถามครับว่าร้านอยู่ตรงไหน ขับวนไปวนมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น อากู๋..เกิ้ล ช่วยคุณได้..
น่าตาดูดี น่ารับประทานเลยทีเดียว รสชาติสำหรับผม ถือว่าอร่อยครับ เข้มข้น กลิ่นหอม ลูกชิ้นดี หมูนุ่ม แถมราคาถูก เอาไปเลย 8/10 คะแนน
กินอิ่มแล้วชีพจรลงเท้าพร้อมออกเดินทาง..เตรียมเสบียงกันให้พร้อม
เพราะคืนแรก…เราจะเปิดหัวด้วย “ดอยเสมอดาว”
แวะเซเว่น ร้านค้า มีแรงแบกมาเท่าไหร่แบกให้หมด ขนม มาม่า หรือว่าเครื่องดื่ม เตรียมให้พร้อม…..
เราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองน่าน มายังดอยเสมอดาวประมาน2ชั่วโมง ก่อนเข้าดอยเสมอดาว เราแวะเอาเต็นท์เช่าก่อน ซึ่งที่ผมเช่าไปเองเพราะการโทรจองกับเจ้าหน้าที่ของดอยเสมอดาว โทรติดยากมากกกก
(กอ ไก่ ล้านตัววว) เลยตัดสินใจเช่าข้างนอกไปกางเองดีกว่า…ดีกว่าไปนั้งลุ้นหน้างาน
เอาเต็นท์เสร็จ…ก่อนถึงดอยเสมอดาว ก็มีที่เที่ยวให้แวะตลอดทาง แต่เราเลือกแวะ
“เสาดินนาน้อย” สถานที่ยอดฮิต ติดอันดับ อินสตาแกรม ใครมาน่านต้องแวะ…แล้วเราจะพลาดได้ไง
เสียค่าเข้าคนละ25บาท แต่เราเสียครั้งเดียว เราสามารถเที่ยวอุทยานแถวนั้นได้หมดเลย เหมือนราคาเหมาๆ เพียงแค่แสดงบัตร…
เดินถ่ายกันไปเรื่อย อ้าว!!!! นึกขึ้นได้ จะเย็นแล้ว เดี๋ยวไม่ทันกางเต็นท์ รีบเร่งเดี๋ยวจะไม่ได้มุมเทพ
ขับเลยมาไม่กี่ร้อยเมตร ก็ถึงที่หมายคืนแรกของเรา “ดาวเสมอดอย เอ้ย!! ดอยเสมอดาว”
คนน้อย…คือลาภอันประเสริฐ ที่เราเลือกที่นี้เป็นคืนแรก เพราะวันที่เราไปมันตรงกับวันพฤหัส ซึ่งเป็นวันธรรมดา ซึ่งคนไม่น่าจะเยอะซักเท่าไหร่ และก็เป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้..ไม่วุ่นวาย จอแจ ดีเยี่ยม
เดินเล่น หาเหลี่ยมหามุมกางเต็นท์กันไปเรื่อย มุมด้านหลังซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ไม่ใช่ของอุทยาน แต่เป็นที่ของชาวบ้านและผู้ประกอบการต่างๆ มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการ ผมก็พึ่งมารู้ที่นี่เหมือนกัน…
เดินเล่น หาเหลี่ยมหามุมกางเต็นท์กันไปเรื่อย มุมด้านหลังซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ไม่ใช่ของอุทยาน แต่เป็นที่ของชาวบ้านและผู้ประกอบการต่างๆ มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการ ผมก็พึ่งมารู้ที่นี่เหมือนกัน…
ชะแว็บ!!!…กางเรียบร้อยราวกับมืออาชีพ เต็นท์ตึงเปรี้ยะ อยากจะบอกว่า เต็นท์ที่เช่ามาดีมาก เป็นเต็นท์ใหญ่นอนได้4คน แต่เรานอนแค่2คน เหยียดแข้ง เหยียดขาสบาย ตีลังกาก็ยังได้ อุปกรณ์ครบ เต็นท์ใหม่ ไม่เหม็นไม่อับชื้น อุปกรณ์เครื่องนอนก็ครบครัน ราคาเช่าเพียง วันละ 350 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากๆ(ราคาแพงกว่าอุทยานไม่กี่สิบบาท) แถมเลือกจุดกางได้เอง เหมาะสำหรับคนที่เช่ารถใหญ่แบบพวกเรานะครับ เพราะตอนเอามามันพะรุงพะรังมาก รัดเชือกมากับแล็คหลังคา (เบอร์เช่าเต็นท์อยู่ด้านล่าง)
ถึงเวลาเดินขึ้นมาชมวิวด้านบนบ้าง อากาศสดชื่น เลยยืนฟอกปอด..
ด้านบนมีจุดให้นั้งชมวิว โคตรชิวบอกเลย ลมเย็นปะทะหน้า ข้างหน้าเป็นเนินเขาสลับกันไปมาโล่งตา ดูแล้วสบายใจ คลายความเหนื่อยล้า หลังจากที่นั้งรถฝ่าฟันกันมาถึง 2 ชั่วโมง
เดินเล่นกันซักพัก พระอาทิตย์ก็เริ่มตก แยกย้ายกันไปอาบน้ำ บอกก่อนเลยว่าที่นี่เป็นห้องน้ำรวม แยกชาย-หญิง ห้องน้ำดีมาก สะอาด รองรับนักท่องเที่ยวได้ดีเลยทีเดียว น้ำไหลแรง อาบได้อย่างสบายใจหายห่วง แต่อย่าใจลอย สงสารคนต่อคิว…แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมชมดาว แต่ลืมซะสนิท ว่ายังไม่ได้ทานข้าว ที่นี่ก็มีบริการจากร้านอาหารของชาวบ้าน เบอร์โทรจะอยู่ตรงหน้าที่ทำการ ป้ายเรียงรายเต็มไปหมด ชอบเจ้าไหนสั่งเอา แล้วแต่ดวงว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย และอีกอย่างแนะนำให้พกเพาเวอร์แบ็งค์มา เพราะจุดชาร์ติมือถือคนจะเยอะมาก ขนาดผมไปตอนคนน้อย ยังแย่งกันชาร์ต ว่าแล้วสั่งอาหาร…แล้วขึ้นไปดูดาวรอดีกว่า
ข้อดีของการเช่าเต็นท์มาเองคือ พี่เจ้าของตามขึ้นมาถ่ายรูปให้ เป็นบริการเสริมที่ไม่คิดเงินเพิ่ม ถือว่าเจ๋งมากๆ เอาใจลูกค้าสุดๆ เวรี่…กู๊ดดดดดด มาดอยเสมอดาว ไม่มีรูปคู่กับดาวก็กะไรอยู่เนอะ ฮ่าๆ
กินลมชมดาวเสร็จ ร้านข้าวโทรมาพอดี ท้องร้องโครกคราก ลงไปกินข้าวดีกว่าไม่ไหวแล้ว….
กินข้าวเคียงคู่กับดาว เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียกว่าดอยเสมอดาว เพราะมันมืดจนเห็นดาวแบบชัดทั้งหมด แบบพาโนรามา คือมองไปทางไหนก็ดาว นั้นก็ดาว โน้นก็ดาว กินข้าวไปเพลินๆ กินเสร็จก็นั้งบ้าง นอนดูดาวบ้าง อากาศก็เย็นพอให้สบายตัว ฟินและชิวระดับ 10 คะแนนเต็มเลยทีเดียว
ถึงเวลาปาร์ตี้เล็กๆ เครื่องดื่มที่เตรียมมา…..ได้เวลาทำงาน เวลามีนอนน้อยรีบกินรีบนอน
ที่นี่มีกฏสากลที่เหมือนๆกับทุกที่ คือ ห้ามส่งเสียงดังหลังสี่ทุ่ม เราก็เปิดเพลง จิบเบาๆ หลังสี่ทุ่มก็เริ่มทะยอยนอน นั้งคุยกันได้ต่อซักพักก็นอนดีกว่า ยังต้องลุยต่ออีกหลายที่…
ราตรีนี้มีแต่ดาวเท่านั้น ที่คอยเป็นยามให้กับเรา ราตรีสวัสดิ์..
เช้าแล้วจ้าาาาา….นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส
ปลุกตัวเองให้ตื่น เพื่อขึ้นไปดูทะเลหมอก ซึ่งหวังว่าขึ้นไปบนดอยน่าจะมี เพราะอากาศชื้นนิดๆ พอให้มีความหวัง แถมเต็นท์ที่เรานอน มีน้ำค้างเกาะอยู่มาก ข้างบนต้องมีหมอกแน่ๆ
ว้าวววววววว!!!! คือคำแรกที่อุทานออกมา เบื้องหน้าของเราคือทะเลหมอก ทะเลหมอกหนามาก ดูนุ่มนิ่มน่ากิน
เย็นๆ คูลๆ แบบบอกไม่ถูก สูดอากาศให้เต็มปอดชาร์ตแบทให้กับตัวเองให้เต็มที่
พระอาทิตย์เริ่มทอแสง..เพื่อให้เราเตรียมพร้อมกับวันใหม่
แสงอุ่นๆ ทอดผ่านกายให้คลายลมหนาว…ได้กาแฟซักแก้วคงจะดี
ดอกหญ้าชูช่อ…ขึ้นรอรับอรุณแรกของวัน
ชมวิวเสร็จก็ถึงเวลาลงมาอาบน้ำ ระหว่างที่รอแต่ละคนอาบน้ำ เราก็สั่งอาหารจากร้านด่านล่างให้มาส่งเหมือนเคย รองท้องกันซักนิด เพราะเราไม่รู้ว่า ข้างหน้าจะไปเจออะไร กินไว้ก่อน อุ่นใจ..อิ่มท้อง และแน่นอนเมนูยอดฮิต คงไม่พ้น ไข่กระทะ สิ่งหนึ่งที่สังเกตุคือ ที่นี่จะใช่กล่องกระดาษชานอ้อยแทบจะ100เปร์เซนต์ ย่อยสลายง่าย เป็นมิตรกับธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ปรบมือให้กับทุกภาคส่วนเลยครับ มีจิตสำนึกรักบ้านเกิดที่เข้มข้นจริงๆ
กินอิ่ม…อาบน้ำสดชื่นเก็บกระเป๋า เก็บเต็นท์ พร้อมเดินทาง…
จุดหมายปลายทางของวันนี้คือ “อาโป เดอ มาง” นั้นเอง ซึ่งเราจะต้องวิ่งกลับเข้าไปในตัวเมืองและขับเข้าเส้นสันติสุข เข้าบ่อเกลือ….
กินอิ่มแล้วพร้อมออกเดินทาง…เรามุ่งหน้าสู่ตำบลบ่อเกลือ ซึ่งว่ากันว่าเป็นแหล่งผลิตเกลือแห่งเดียวในโลก ที่ผลิตเกลือบนภูเขา ได้ยินครั้งแรก ผมถึงกับร้อง ฮะ!!! ผลิตเกลือบนเขา มันจะเป็นไปได้หรอ ส่วนใหญ่เห็นแต่ทะเล…..
และแล้วเราก็มาถึง “บ้านบ่อเกลือ” ใช้เวลาการเดินทางจากตัวเมือง ลัดเลาะภูเขาที่คดเคี้ยว เป็นเวลา2ชั่วโมงนิดๆ บอกเลยว่าใครเมารถพกยามาด้วย เส้นทางไม่ลำบาก แต่คดเคี้ยวใช้ได้…โค้งๆพออาเจียน
ลงมาถึงก็ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก….(ว่าแล้ว..ว่าต้องเล่นมุขนี้) ยืดเส้นยืดสายจากการนั้งรถเป็นเวลานาน
บรรยากาศดูคลาสสิคน่าหลงใหล…มองไปทางไหนก็มีแต่สีน้ำตาล
ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะทำธุกกิจค้าขายเกลือเป็นหลักทั้งเกลือสำหรับรับประทาน แปรรูปเป็นเกลือสปาขัดผิว แล้วแต่คนจะถนัด ซึ่งแต่ละบ้าน ก็จะมีเตาดินเหนียว ก่อขึ่นมาแล้วนำกะทะมาวางด้านบน นำน้ำจากบ่อเกลือมาใส่ ต้มจนตกตะกอน ต้มจนกลายเป็นเกลือ แล้วค่อยตักขึ้น ซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมตั้งแต่สมัยนู้นนนนนน!!!
คุณลุงเจ้าของบ้านเล่าให้ฟังประวัติความเป็นมาอยู่นาน ฟังไปก็ชิมไป แต่เกลือที่นี่ไม่เค็มเกินไปนะครับ เค็มกำลังดี ถ้าถามความเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่มกับผม บอกเลยว่ากูเกิ้ลง่ายกว่า เพราะมันยาวมากกกก เอามาลงในนี้ อ่านไปหลับไปกันพอดี…
เดินลัดเลาะตามบ้าน เข้าออกได้อย่างสบาย ชาวบ้านที่นี่เค้าใจดี อยากถ่ายตรงไหนก็ให้ถ่าย แต่ขออย่างเดียวอย่าซนไปหยิบจับโยกย้ายของก็พอ
ออกจากหมู่บ้านขับเลยมานิดนึงก็ถึงที่พัก “อาโป เดอ มาง”
ขับมาต้องสังเกตุนิดนึง เพราะทางเข้ากลมกลืนกับธรรมชาติมาก แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติเลยด้วยซ้ำ…ชอบการตกแต่งและไอเดีย เฉียบ!!!
ใช้เวลาในการเดินซักพัก ทางลงค่อนข้างชัน ใช้พลังขาอย่างมาก เล่นซะบ่นกันแทบทุกราย สุดท้าย อ่าว!!! มีลานจอดด้านล่าง แล้วทำไมไม่บอก ทางเข้าลานจอดด้านล่างต้องเข้ามาทางซอยตรงข้ามเยี่องๆ บ้านบ่อเกลือที่เราไปเที่ยวมา จะมีทางลัดเลาะพามา ถามชาวบ้านแถวนั้นเอาก็ได้ จอดเสร็จข้ามสะพานไม้ถึงที่พักเลย ไม่ต้องเดินลงเขา เชื่อผมเถอะว่ามันเมื่อยขาจริงๆ
เก้าอี้ริมธาร รอคอยการมานั้งของใครซักคนนึง…
เรื่องห้องพักไว้ทีหลัง แสงจะหมดแล้ว เรื่องรูปต้องมาก่อน ฮ่าๆ
แดดดี นางแบบได้ อีกเช่นเคย…
เรานอนพักเต็นท์กระโจมใหญ่ วิวหน้าห้องมันก็จะชิวๆ ประมาณนี้..
อาบน้ำเรียบร้อย…ทางที่พักมีบริการบาบีคิวให้ แถมมากับแพ็คเกจห้องพัก ถามว่าอิ่มไม๊….อิ่มแน่นอนครับ
แต่ถ้าใครไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้ และยังมีบริการอีกหลายเมนูครับมานี่ไม่ต้องห่วง ไม่อดแน่นอน
ได้เวลาก็ขึ้นเตาเลยจ้าาาา….กลิ่นหอมคลุ้งไปทั่ว บาบีคิวอร่อยมาก ผมยืนยัน
กินเสร็จเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืน กับอากาศที่เย็นสบายตัวกันดีกว่า…
สะพานไม้ไผ่ ทอดยาวเหนือลำธาร จะนั้งเล่นเอาเท้าแช่น้ำก็ชิวไปอีกแบบ..
บ้านแต่ละหลังก็จะมีที่…ให้นั้งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ
หรือจะนั้งริมลำธาร จิบเบียร์เบาๆ ฟังเพลงคลอๆ
บรรยากาศแบบบ้านๆ ท่ามกลางธรรมชาติ
บรรยากาศแบบบ้านๆ ท่ามกลางธรรมชาติ
ใครจะพักแบบบ้านเป็นหลัง ที่นี่ก็มีให้บริการ
มุมปิ้งย่าง…ส่วนฝั่งขวาเป็นห้องครัว
เต็นท์ที่เราพัก…ใหญ่มาก กว้างขวาง นอนได้สบาย
ลานจอดรถที่เราเดินลงมาตอนแรก สูงพอสมควร….
เดินจนย่อย ได้เวลาเข้านอนแล้ว เก็บแรงและพักผ่อน เพื่อเดินทางต่อในวันใหม่ ฝันดีราตรีสวัสดิ์…
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น….ตื่นเช้าขึ้นมารอดูพระอาทิตย์ อากาศสดชื่นเกินคำบรรยาย
หมอกลงหนา…เต็มไปหมด ไหนหล่ะพระอาทิตย์ที่เฝ้ารอ..
ยืนมองแล้วรู้สึกเย็นสบายตา…สดชื่น
เดินเล่นเสร็จก็กลับมาเก็บกระเป๋า…พร้อมออกเดินทางไปยังอีกจุดหมายใหม่
ก่อนกินข้าว…ก็เก็บบรรยากาศอีกซักหน่อย ฃ
ขนาดคนยังต้องกินอาหาร…วัวของชาวบ้านก็ออกมาหากินเหมือนกัน บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนแต่พึ่งพาอาศัยกันและกัน เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกัน
หมอกจางลอยหายไป ทิ้งไว้แต่น้ำค้างที่ปลายหญ้า แสงแรกของวันสร้างความสดชื่นแจ่มใส
น้ำใสไหลเย็น เสียดายที่อากาศเย็นไปนิด ไม่งั้นได้ลงไปว่ายแล้ว
ตรงลานจอดรถด้านล่างก็มีชิงช้าให้นั้งเล่น…
ซึมซับกับธรรมชาติกันอย่างเต็มที ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อ ขับรถมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอ
“ถนนลอยฟ้า” ที่กำลังดังอยู่ในโลกโซเชี่ยล ที่ใครไปใครมาก็ต้องแวะถ่ายรูป…
” น่านเป็นเมืองเล็กๆที่สุดแสนประทับใจ ผู้คนที่นี่ใจดี น่ารัก อยู่กันอย่างเรียบง่ายไม่วุ่นวาย ไม่ต้องทำตัวให้หวือหวา ไม่ต้องใช้ชีวิตที่โลดโผน รักในบ้านเกิด รักในถิ่นที่อยู่อาศัย รักในขนบธรรมประเพณี ยึดถือการใช้ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม ที่นี่สอนให้ผมรู้จักคำว่าเรียบง่าย รู้จักคำว่าพอเพียง รู้จักคำว่าน้อยแต่มาก ทุกอย่างมันถูกปรุงแต่งให้ผสมผสานกันอย่างกลมกล่อมและลงตัว มันสวยงามมากจริงๆ ผมโคตรรักที่นี่เลย เมืองน่านนคร… “
ขอบคุณบทความดีๆ และภาพสวยๆ จาก Facebook สุดเขต มาชิว
อ่านบทความแบบเต็มๆ คลิกที่นี่เลยจ้า